เพิ่มพูนความมั่งคั่ง
หลายปีที่ผ่านมา... อัตราเงินเฟ้อพุ่งพรวดแซงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจนแทบไม่เห็นฝุ่น เห็นทีลำพังการออมเงิน ไว้ในธนาคารเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถทำให้คุณไปถึงฝั่งฝันหรือมั่งคั่งอย่างที่ตั้งใจไว้ได้ เพราะเงินออมเติบโตไม่ทันราคาสินค้าและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น เอาเป็นว่า... ถ้าวันนี้เงินของคุณยังนอนนิ่งๆ อยู่ในบัญชีเงินฝาก ทำไมไม่ลองปล่อยให้ออกมายืดเส้นยืดสายทำงานแทนคุณกันดูบ้าง เพราะยังมีทางเลือกอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วย “เพิ่มพูนความมั่งคั่ง” (Wealth Accumulation)ให้คุณได้ “การวางแผนลงทุน” จึงกลายเป็นพระเอกคนสำคัญของเรื่องนี้ เพราะการลงทุนเปรียบเสมือนทางด่วนสู่ความมั่งคั่ง การออกตัวที่ดี ตั้งต้นได้เร็ว และเดินตามแผนที่วางไว้ ย่อมช่วยให้ถึงเส้นชัยได้สมดังใจหวัง นอกจากนี้ การใส่ใจเรื่องภาษีก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้คุณได้เช่นกัน เพราะ “การวางแผน ภาษี” ช่วยลดภาระภาษีของคุณให้น้อยลง เมื่อเสียภาษีน้อยลง คุณก็จะมีเงินออมและลงทุนเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้มากยิ่งขึ้น ยิ่งในปัจจุบันมีช่องทางการออมการลงทุนหลายประเภทที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือการทำประกันชีวิต ฯลฯ ซึ่งคุณไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะช่วยประหยัด ภาษีในแต่ละปีลงได้แล้ว ยังถือเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่งในระยะยาวให้คุณด้วย |
วางแผนลงทุน
เอาล่ะ... ถึงเวลาออกเดินทาง สานสร้างเส้นทางรวยด้วย “การลงทุน” กันแล้ว!!! สำหรับผู้ลงทุนมือใหม่หรือหลายๆ คนที่สนใจลงทุน แต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะลงทุนอย่างไร ไม่รู้จะเริ่มต้น ตรงไหน ลองเริ่มจาก “รู้จักตัวเอง” ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิด ถามตัวเองให้แน่ใจก่อนว่า “เป้าหมาย” การลงทุนของคุณคืออะไร ลงทุนเพื่อบั้นปลายชีวิต เพื่อลดหย่อนภาษี เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ หรือเพื่อทำกำไร ฯลฯ จากนั้นค่อยพิจารณา “เงื่อนไข” ในการลงทุน ว่าคุณรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ต้องการผลตอบแทนเท่าไหร่ มีเงินลงทุนมากน้อยเพียงใด หรือมีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้แหละที่จะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีว่า... ทางเลือกการลงทุนแบบไหนที่จะเหมาะกับคุณมากที่สุด เมื่อรู้จักตัวเองมากขึ้นแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลา “รู้จักเครื่องมือ” กันเสียที คำว่า “เครื่องมือ” ในที่นี้ก็หมายถึง “ทางเลือกการลงทุน” นั่นเอง ยิ่งทุกวันนี้มีทางเลือกการลงทุนหลากประเภท หลายสายพันธุ์ ทั้งหุ้นสามัญ พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และอื่นๆ อีกมากมาย แถมแต่ละประเภทต่างก็มีรายละเอียดและความซับซ้อน ที่แตกต่างกันออกไป ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติเฉพาะตัว ความเสี่ยง และผลตอบแทน ตลอดจนข้อดีข้อเสียของทางเลือกต่างๆ จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้คุณจัดสรรเงินลงทุนได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
เข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง สังคม จิตวิทยามวลชน หรือปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อ ทิศทางการลงทุนจะทำให้คุณสามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในภาวะตลาดที่แตกต่างกัน รวมถึงสามารถโยกย้าย เงินลงทุนไปยังทางเลือกอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างเหมาะสมด้วย สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลย ก็คือ ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ดอกผลจากการลงทุนที่งอกเงยกว่าเงินฝาก จึงมาพร้อมกับ “ความเสี่ยง” ที่เพิ่มขึ้น แต่คุณสามารถจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้ได้ด้วยการ “จัดสรรเงินลงทุน” (Assets Allocation) ไปในทางเลือกการลงทุนหลายๆ ประเภท ดังกฎเหล็กการลงทุนที่ว่า “Don’t put
คุณอาจสูญเสียเงินทั้งหมดในคราวเดียวกัน แต่หากคุณรู้จักจัดสรรการลงทุนอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาถึงความสัมพันธ์ และทิศทางการขึ้นลงของราคาที่แตกต่างกัน การขาดทุนจากการลงทุนประเภทหนึ่ง อาจถูกชดเชยด้วยกำไรจากการลงทุน อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงได้แล้ว ยังช่วยให้คุณได้รับผลตอบแทนรวมที่ไม่ขี้เหร่จนเกินไปด้วย อย่างไรก็ตาม การกระจายความเสี่ยงต้องตั้งอยู่บน “ความพอดี” ทุกวันนี้มีผู้ลงทุนจำนวนไม่น้อยที่มุ่งมั่น กระจายความเสี่ยงอย่างตั้งอกตั้งใจและจริงจังจนล้ำเส้นความพอดี มีหุ้นตัวเล็กตัวน้อยซุกไว้จนนับไม่ถ้วน หรือหว่านซื้อ กองทุนเยอะเป็นดอกเห็ด แทนที่จะช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้ กลับกลายเป็นไม่สามารถดูแลพอร์ตได้อย่างทั่วถึง และอาจส่งผลร้ายกับเงินลงทุน ทางที่ดี... ควรเดินบนทางสายกลาง หาความพอดิบพอดีให้พอร์ตการออมและการลงทุนของตัวคุณเอง เพียงแค่นี้ ก็ช่วยกรองความเสี่ยงได้ระดับหนึ่งแล้ว ฝากทิ้งท้ายไว้อีกนิดกับประโยคยอดฮิตที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” |
กระจายการลงทุน... คุณก็ทำได้
ปิรามิดการลงทุน
บริหารพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเอง
จัดสำรับการลงทุนตามวัย
จัดทัพลงทุน... เลือกทัพให้เหมาะกับตัวคุณ
5 วิธีสร้างพอร์ตอย่างปลอดภัย
เคล็ดลับการลงทุนสไตล์... ปรมาจารย์
|
วางแผนภาษี
“ภาษี”แค่ได้ยินคำนี้หลายคนก็ทำหน้าเบ้ ไม่อยากได้ยินซะแล้ว ทั้งๆ ที่ช่วงเดือนมีนาคมเราก็ทำหน้าที่พลเมืองดี จ่ายภาษีกันมาทุกปี แต่จนแล้วจนรอด... ภาษีก็ยังทำให้เราปวดหัวอยู่ร่ำไป
ตามกฎหมายต่างหาก คำว่า “การวางแผนภาษี” คือ การเตรียมการเพื่อเสียภาษีให้ถูกต้อง ครบถ้วนในฐานะพลเมืองดี และ ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้ไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี เพื่อบรรเทาภาระภาษี ให้น้อยลง ไม่ต้องเสียภาษีมากจนเกินไป รวมถึงไม่ต้องชำระภาษีเพิ่มหรือเสียเบี้ยปรับโดยใช่เหตุ เมื่อเสียภาษีอย่างถูกต้อง ไม่ขาดไม่เกิน ก็เท่ากับว่าช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีได้ส่วนหนึ่ง และยิ่งถ้า คุณวางแผนภาษีเป็นอย่างดี ตัวเงินที่ประหยัดขึ้นมา ขี้คร้านจะทำให้คุณตาโต เพราะได้เงินคืนภาษีจำนวนไม่น้อย ซึ่งภาษี ที่ได้กลับมานี้เราอาจนำไปต่อยอดให้ออกดอกออกผลสร้างเงินกลับมาให้เราได้ ในขณะที่ “การโกงภาษี” หรือ “การหนีภาษี” คือ การไม่ยอมเสียภาษี หรือความพยายามที่จะเสียภาษีให้น้อยลง โดยฝ่าฝืนกฎหมายภาษีอากร เช่น จงใจไม่นำรายได้มายื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี ยื่นรายการไม่ครบ หรือแสดงรายการ ค่าใช้จ่ายสูงกว่าความเป็นจริง ฯลฯ ซึ่งการกระทำเหล่านี้ล้วนมีความผิดทางกฎหมายและจะถูกลงโทษตามกฎหมายภาษีอากร ดังนั้น การวางแผนภาษีที่ดีจึงควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจในรายละเอียดเกี่ยวกับภาษีเงินได้ที่ี่เราจะต้องเสีย และรู้จักใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้คุ้มค่า โดยหลักในการวางแผนภาษี คือ รู้ประเภทของรายได้ รู้ค่าใช้จ่าย ที่หักภาษีได้ รู้ค่าลดหย่อนเพื่อลดภาษี รวมถึงรู้วิธีการคำนวณภาษี และรู้ช่องทางการยื่นภาษี เริ่มที่ “รายได้” เพราะการที่เราต้องเสียภาษีก็เนื่องมาจากการมีรายได้เป็นเหตุ ซึ่งในวิถีชีวิตของคนเสียภาษีส่วนใหญ่ มาจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือเป็นลูกจ้างขององค์กรต่างๆ เป็นหลัก การจัดการกับภาษีเงินได้ที่ได้จากเงินเดือนหรือค่าจ้าง จึงไม่ยากเย็นนักหากคุณไม่แอบไปรับจ๊อบหารายได้เสริมจากที่ไหน แต่หากคุณมีเวลาไปรับจ๊อบอื่นด้วยก็ต้องวางแผนให้ดี ว่าจะเลือกรับเงินเป็นประเภทไหน รับเป็นเงินเดือน หรือรับเป็นงานเหมา เพราะนั่นจะส่งผลต่อจำนวนภาษีที่คุณต้องจ่าย ดูเผินๆ เหมือนว่ารับเงินประเภทไหนก็เหมือนๆ กันแหละ ยังไงก็ได้เงินมาเหมือนกัน!!! บอกได้เต็มปากเต็มคำเลย ว่าไม่เหมือนกันแน่นอน และถ้าคุณตัดสินใจผิดพลาดไป คุณอาจต้องเสียใจกับเงินหลายหมื่นหลายพันที่หายวับไปกับตา ทำไมหน่ะเหรอ? ก็เพราะว่า... รายได้แต่ละประเภทจะหัก “ค่าใช้จ่าย” ได้ไม่เท่ากันนะสิ ตัวอย่างเช่น รายได้ที่ เป็นเงินเดือน กฎหมายให้หักค่าใช้จ่ายได้ 40% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ในขณะที่รายได้จากอาชีพบางอย่าง สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว เช่น ขายของชำ ซักอบรีด หักค่าใช้จ่ายได้ 80% ของรายได้ทั้งปี หรือ ร้านอาหาร ร้านตัดผม ร้านถ่ายรูป หักได้ 70%ของรายได้ทั้งปี นี่คือสิทธิประโยชน์จากการหักค่าใช้จ่ายที่กฎหมายได้เปิดกว้างไว้ให้ ซึ่งนอกจากค่าใช้จ่ายแล้วยังมีอีก สิทธิประโยชน์หนึ่งที่เราไม่ควรละเลย นั่นก็คือ การนำเอา “ค่าลดหย่อน” ต่างๆ มาหักออกจากรายได้ ค่าลดหย่อนเหล่านี้จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ตัวเลขรายได้จริงลดลงและเสียภาษีน้อยลง เช่น ค่าลดหย่อน ส่วนตัว30,000 บาท ถ้าแต่งงานก็สามารถหักค่าลดหย่อนคู่สมรสได้อีก 30,000 บาท หรือถ้ามีลูกอยู่ในวัยเรียนก็สามารถ หักค่าลดหย่อนบุตรได้อีกคนละ 15,000 หรือ 17,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่าลูกเรียนอยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ รวมถึง ค่าลดหย่อนสำหรับบรรดาลูกกตัญญูทั้งหลายที่เลี้ยงดูพ่อแม่อายุ 60 ปีขึ้นไปและไม่มีรายได้ ซึ่งสามารถหักค่าลดหย่อน บิดามารดาได้อีกคนละ30,000 บาท แต่มีเงื่อนไขว่าจะให้สิทธินี้แก่ลูกเพียงคนเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีค่าลดหย่อนอีกมากมายที่น่าสนใจและไม่ควรมองข้าม แถมค่าลดหย่อนบางอย่างยังเป็นการส่งเสริม เพื่อให้เกิดการออมการลงทุนระยะยาวด้วย เช่น ดอกเบี้ยบ้าน ค่าเบี้ยประกัน เงินปันผลจากการลงทุนในหุ้นเงินลงทุนใน กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เงินลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินประกันสังคม หรือแม้กระทั่งเงินทำบุญ ล้วนมีผลต่อการประหยัดภาษีทั้งสิ้น หลายคนลืมที่จะใส่ใจเงินค่าลดหย่อนเหล่านี้ เพราะคิดว่าเป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ แต่ที่จริงแล้ว...เงินส่วนนี้ช่วยประหยัด ภาษีได้มากเลยทีเดียว ยิ่งมีค่าลดหย่อนมาก ก็จะช่วยประหยัดภาษีได้มาก คราวนี้มาถึงเรื่อง “วิธีการคำนวณภาษี” กันบ้าง... หลังจากที่นำรายได้ทั้งปีมาหักค่าใช้จ่ายตามประเภทรายได้ และหักค่าลดหย่อนต่างๆ แล้ว จากนั้นเราจะนำเงินได้สุทธิมาคำนวณภาษีในอัตราก้าวหน้าโดยเงินได้..
วิธีนี้จะใช้สำหรับผู้มีรายได้ประเภทเงินเดือนเป็นหลัก แต่สำหรับผู้ที่มีรายได้ประเภทอื่นๆ รวมอยู่ด้วยต้องคำนวณ อีกวิธีหนึ่งเพื่อเปรียบเทียบกัน โดยการนำรายได้ทั้งปีก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนหรือที่เรียกกันว่า “รายได้พึงประเมิน” มาคูณด้วยอัตราภาษี 0.5% หากวิธีใดมีจำนวนเงินภาษีที่ต้องจ่ายสูงกว่าให้เสียภาษีด้วยวิธีนั้น ซึ่งโดยทั่วไปวิธีแรกจะมีจำนวนที่มากกว่า เอาล่ะ... มาถึงตรงนี้คุณคงรู้จักองค์ประกอบในการวางแผนภาษีคร่าวๆ แล้ว ก็มาถึงขั้นตอนสำคัญ นั่นคือ “การยื่นภาษี” กันเสียที โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีเงินคืนภาษีด้วยแล้ว คุณต้องกรอกรายละเอียดให้ครบถ้วนและ ลงลายมือชื่อผู้ขอคืนอย่างชัดเจน ที่สำคัญก่อนยื่นแบบแสดงรายการอย่าลืมตรวจทานรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ รวมทั้งเอกสารที่ต้องแนบเป็นหลักฐานให้เรียบร้อยก่อน ทางที่ดี... คุณควรรีบยื่นแบบแสดงรายการตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม ซึ่งจะทำให้คุณได้เงินคืนภาษีเร็ว เพราะ เป็นช่วงที่คนยื่นน้อย แต่ถ้าคุณไม่มีเงินคืนภาษี จะยื่นเร็วหรือช้าก็ไม่มีผลอะไร ที่แน่ๆ คือ อย่าถ่วงเวลาจนเลยช่วงยื่นแบบ แสดงรายการ (เดือนมีนาคม) เข้าล่ะ ถ้าเกินกว่านั้น แทนที่คุณจะประหยัดคุณกลับต้องจ่ายค่าปรับถึง 1.5% ต่อเดือน ของเงินภาษีที่ต้องชำระเพิ่มเชียวนะ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคุณสามารถยื่นแบบแสดงรายการผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ที่ www.rd.go.th ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการยื่นภาษีได้อีกทางหนึ่ง เห็นหรือไม่ว่า... การวางแผนภาษีที่ดีและใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้คุณประหยัดภาษีได้้อย่างมาก ไม่ว่าจะรายได้ ค่าใช้จ่าย หรือเงินออมเงินลงทุนใดๆ หากคิดย้อนกลับมาถึงเรื่องภาษีได้ก็อย่าละเลยที่จะกลับมาไตร่ตรอง ให้ดีก่อนว่าจะทำอย่างไรให้ประหยัดภาษีได้มากที่สุด และเมื่อคุณคุ้นเคยกับตัวเลขยุบยิบเหล่านี้แล้ว ภาษีก็จะไม่สร้าง ความวุ่นวายในแต่ละปีให้คุณต้องปวดหัวอีกต่อไป |
ฝากเงินอย่างไรให้กำไรภาษี
เครดิตภาษีเงินปันผล... ผู้ลงทุนต้องรู้
เทคนิคประหยัดภาษี
แตกหน่วยภาษี... ช่วยลดภาษีได้อย่างไร
ตัวอย่างการวางแผนภาษีของสมหญิง
|
ที่มา :: http://www.tsi-thailand.org/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น