วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"พักความคิด" ..แล้วปลดปล่อยให้ความคิดเติบโต

"พักความคิด" ..แล้วปลดปล่อยให้ความคิดเติบโต

 
 
 

 
 
"คนในภาพนี้ มี Wealth รวมกัน $126 Billions ...ก็ประมาณ 3.8 ล้านล้านบาท ...ก็มากกว่างบประมาณประเทศไทย" -- เพื่อ "ให้!!"

 

น่าทึ่งจริงๆ ตั้งแต่ Bill Gates , Warren Buffett , Oprah , Bon Jovi , Rubenstein , etc. -- รวมตัวกันเพื่อให้ ...เราได้ทราบกันอยู่แล้วว่า Bill Gates และ Warren Buffett ...ทำมานานแล้ว คือ เขาตั้ง Foundation แล้วเอาเงินของเขาครึ่งนึง ...ใส่มูลนิธิ แล้ว ตัวเองก็ลาออกจาก Microsoft แล้วเอา "สมอง และ ความสามารถ" มาทุ่มให้กับ การพัฒนาชีวิตคนอื่นให้ดีขึ้น ...มูลนิธิเขาเน้นสองเรื่องคือ หนึ่ง ช่วยชีวิคคน (ตอนนี้เน้นในทวีปแอฟริกา) เขาทำ วัคซีน เพื่อช่วยชีวิตเด็ก เพราะ เดิมทีโจทย์ที่ท้าทายคือ การยกระดับชีวิตคนจน ..ซึ่งในเบื้องแรก เขานึกว่า การลดจำนวนประชากรจะช่วยให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ...แต่ในความเป็นจริง มันตรงข้าม -- เมื่อ Bill Gates เข้าไปสัมผัสจริงๆ เขาพบว่า การที่แอฟริกามีลูกมาก เพราะ โอกาสที่เด็กตายสูงมาก ..ทำให้พ่อแม่มีลูกหลายคน -- การลดการตายในเด็ก ต่างหากที่ลดจำนวนการมีลูกมาก "โจทย์การช่วยชีวิต ของ Bill Gates จึงเริ่มขึ้น!!"

 

ดังนั้น "เมื่อเจอปัญหาจริง" เขาก็ทำ วัคซีน โดย สนับสนุน R&D ของบริษัทยา ให้สามารถผลิต "ยาช่วยชีวิต" ที่ราคาประหยัดกว่าเดิม 99% ... เปิดการใช้ approach ของ "ผู้ประกอบการ" ซึ่งเก่งในเรื่องของ การทำสิ่งที่เหมือนกันคนอื่น แต่สามารถทำในต้นทุนที่ต่ำกว่า (ผมว่าเรื่องของ Skill ความฉลาดของผู้ประกอบการ ในการใช้ทุนที่จำกัด สร้างผลลัพธ์ที่มากกว่า มันเริ่มเห็นผลในหลายๆ อุตสาหกรรม ตั้งแต่ ธุรกิจ จนถึงธุรกิจเพื่อการให้ Social Entreprenuer)

 

วันนี้มูลนิธิ Bill gates ช่วยชีวิตเด็กเป็นล้านคนต่อปี ...และ อีกประเด็นที่เขามุ่งทำ คือ "ยกระดับการศึกษา ของคนจน" เพราะ เขาเชื่อว่า การศึกษาเท่านั้น ที่จะยกระดับฐานะของคนอย่างแท้จริง ...

 

"สิ่งที่ Bill Gates ทำ มันกระตุ้นให้ เศรษฐีทั่วโลก เริ่มมองว่า มันเป็นเรื่องที่ดี ...จนกลายเป็นกระแสของ การให้!!" ...ประเด็นนี้ ผมว่า มันสุดยอดจริงๆ

 
 
อย่าง David Rubenstein เจ้าของ Private Equity ด้านอาวุธสงคราม ยังเริ่มมามองเรื่องการให้ อย่างจริงจัง ...โดย เขามองว่า คนเราเลือกทำอะไรกับเงินมหาศาลที่หามาได้ 3 ทาง คือ




หนึ่ง ให้ลูก (ซึ่งถ้าให้มากไป มันจะห่วยแตกมาก เพราะ เงินจริงๆ ถ้ามากเกินไป มันไม่ได้ทำให้ชีวิตลูกดี แต่มันทำให้ยิ่งแย่)..ความเชื่อใหม่ คือ ให้เงินลูกมากพอ ที่จะให้เขาทำในสิ่งที่เขารัก แต่ไม่มากเกิน จนเขาไม่ต้องทำอะไรเลย ..."ต่างกันมากนะ!!"

 

สอง ให้คนอื่น ไปแจกจ่าย เช่น องค์กรการกุศล ต่างๆ ซึ่งบางแห่ง ก็ดี บางแห่งก็มั่ว...แล้วแต่โชค

 
สาม ให้เอง ...ตรงนี้ก็แบบ Bill gates ที่เขาเชื่อว่า มันสมองของเขาสามารถ เอาเงินจำนวนเท่ากัน แต่เขาสามารถสร้างประโยชน์ได้มากกว่า ...และ มันกลายเป็นเรื่องของการ "ท้าทายความสามารถ ในการสร้างความดี" -- แข่งกัน ให้ ...คือ ใครคิดวิธีให้ ได้ประโยชน์สูงสุด ก็ถือ เป็นความภูมิใจ -- ยิ่งสามารถสร้างเป็นธุรกิจ ที่มี Business Model ที่สามารถ "ให้" อย่างยั่งยืน ยิ่งท้าทายความคิด เพราะ ต้องสร้างกำไร เพื่อเอากำไรมา "ให้" สังคม ...ต้องคิดซ้อนเข้าไป !!

 

David พูดไว้อย่างน่าสนใจว่า ...เขาไม่ได้แจกเงิน เพราะ ว่าเขารู้สึกผิด -- เพียงแต่การ "ให้" มันท้าทายความสามารถ และ มันทำให้ "ตัวเอง" รู้สึก ถึง ความสุข ที่เขาได้ให้ต่างหาก ที่เป็นพลังขับเคลื่อน

 

-- Trend ของ Social Entreprenuer น่าจะ มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ สุดท้าย คนรวยในยุคนี้ รวยขึ้น อย่างแน่นอน เมื่อเงินเฟ้อ มันทวีความรุนแรง ...และ วิธีที่ดีที่สุด ที่ลดความเหลื่อมล้ำ ก็คือ การที่คนรวยลุกขึ้นมา ท้าทายตัวเอง ...ในเรื่องของการสร้างประโยชน์และสร้างโอกาส ให้กับผู้อื่น ...แจ๋วนะ -- แข่งกัน "ให้" ...




เพราะ ยิ่งให้ คนให้ ก็ยิ่งได้ ... "ซึ่งคนเหล่านี้ เงินเขามากพอ และ มากเกิน ...ดังนั้น มันเยี่ยมกว่า การเก็บเป็นมรดก ให้ลูกๆ ผลาญมากนัก"




คนเรา มันต้องสร้างเอง ...ถึงจะภูมิใจในการที่เกิดมา ...บางครั้งเงินก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ชี้วัดความสามารถ แต่ความสุขที่แท้จริง คือ ต้องหันหลับมาถามตัวเราเอง ว่าอะไรคือ "ความสุขที่แท้จริง"

 
สุดท้าย ผมเชื่อว่า "โจทย์ที่เราอยากทำ เราต้องตอบเอง" ไม่มีใครตอบได้ดีเท่าตัวเราเองหรอกว่า เราทำอะไรแล้วดีกับเรา ...คนอื่นมองอย่าง เรามองอีกอย่าง

 

--- ถ้าถามผม ..ผมว่า คนเหล่านี้น่าชื่นชม ...เท่ห์มาก!!

 

"ทำเพราะ อยากทำ ...ไม่ได้ทำเพราะ ต้องทำ"

 



 
 
 
 
Trend ของ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ผมว่ามันชัดขึ้นเรื่อยๆ ...ทั้งในระดับโลก และ ระดับประเทศเรา ... สิ่งที่เราพบมากขึ้นทุกวันคือ คนที่รวยแบบ Self-made สร้างด้วยตัวเอง เริ่มตระหนักว่า การส่งต่อให้ทายาททั้งหมด เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะ เงินจริงๆ มันมีทั้งประโยชน์ และ โทษ ...แต่ปัญหาที่เกิดจากเงินคือ "เงินไปที่ไหน ที่นั่นแตก!!"


 ...พ่อตาย ...ทายาทฆ่ากันแย่งสมบัติ ...สิ่งเหล่านี้ ไม่น่าเกิดขึ้น --
ผมว่า เศรษฐีที่ Self-made เหล่านี้ฉลาดพอ เขาหาเงินมาได้ ก็ย่อมคิดได้ว่า ..ผลของ "เงิน" ที่หามาจะสร้างวิบัติ ต่อทายาทเท่าไหร่ ถ้าเขาเพียงโยนเงินมรดกแบบไม่คิด..
 
"และนั้นเป็นเรื่องราวที่น่าชื่นชม ของเหล่าเศรษฐี Self-made เหล่านี้ ที่เริ่มรวมกลุ่มกัน ...แล้วเดินทางพบปะ เศรษฐี Self-made เหมือนกัน จากอเมริกา ไป จีน มา อินเดีย ...วันนี้นิตยสารและสื่อหลายๆค่าย อย่าง Fortune ก็รับเป็นแม่งานในการ "สื่อ" ประเด็นเรื่องการ "ให้" แบบฉลาดนี้ในวงกว้างมากขึ้น (ให้ อย่างไร จะยั่งยืน ใช้เงินน้อย แต่ใช้สมองมาก ..เน้นการสร้างประโยชน์ และ สร้างโอกาส)"
--- ผมว่า ความท้าทาย จริงๆ ของเศรษฐี Self-made เหล่านี้คือ การใช้ความรู้ ความสามารถ และเวลาของเขา ในการช่วยเหลือคนที่ขาดโอกาส ..."อย่างตัวผมเอง ผมเคยล้มจนเละ ..และรู้เลยว่า จริงๆ แล้วสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างตัวเอง ไม่ได้เริ่มที่เงิน แต่เริ่มที่โอกาส ...และ โอกาส มันคือ การทำตัวเราให้ดี เป็นจุดเริ่ม!! ...พัฒนาความรู้ในสิ่งที่เราเลือกทำให้สุดๆ ...จากนั้นชีวิตมันจะเริ่มเหมือนการเดินทาง ที่โคจรเจอคน สร้าง Connection สร้าง Experience และ สร้าง Trust ...เมื่อถึงจุดนึง เงินจะเริ่มมาแบบเราไม่ต้องห่วง "เพราะพอเราทุ่มให้งานแบบสุดๆ งานมันก็จะดี และ ดีมากๆ จากนั้นเงินมันก็มาเอง ..." -- ตรงนี้แหละที่น่าสนใจ
เพราะ แท้จริงแล้ว หลายคนมองว่า คนรวยทำเพื่อเงินแต่จริงๆ ไม่ใช่ เขาทำเพื่องาน ...แต่วันนี้ที่น่าสนใจเพิ่มคือ เขาเริ่มเปลี่ยนโจทย์ แล้วสร้างความสุขให้ตัวเองมากขึ้น ตอบสนองจิตใจ ที่ลึกๆ ผมเชื่อว่า ทุกคนเป็นคนดีนะ ...เมื่อเราสบาย เราก็อยากช่วยคนอื่น ในมุมที่มันสร้างสรรค์" ....สิ่งที่ผมคิดมาตลอด คือ อะไรที่สร้างโอกาสให้คนยกระดับฐานะตัวเองได้ด้วยตัวเอง ...ผมว่า "การศึกษา" เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ...จากนั้น ทัศนคติที่ดี ที่มุ่งมั่น มันจะทำให้เขาโคจรไปเจอกับ "คน" (คนที่ให้โอกาส) ...และนั่นจะเป็นจุดเปลี่ยน
-- สนุกดี เกมนี้ มันท้าทายคนรุ่นใหม่ จริงๆ ....อย่างวันนี้ ผมไปเจอ หมอคิดส์ ...เขาเป็นนักลงทุนตั้งแต่เด็ก และ ก็เปิดบริษัทเอง วันนี้เขาตั้ง MaFiva เป็น Online Agency มีลูกค้าเป็นบริษัทต่างชาติมากมาย ...ผมก็ถามว่า เหมือนคุณ จะเริ่มจากสิ่งที่มันไม่มี แล้วสร้างความไม่มีให้มี
...ใช่!! การแข่งกับธุรกิจเดิม มันยาก เพราะ มันมีคนเดิมเขาจับ
จอง ...แต่ใน New Territory อย่าง Internet และ Digital มันเปิดกว้าง -- และสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ผมสัมผัสกับ Passion อย่างมากมาย เวลาได้คุยกับคนรุ่นใหม่ ที่สร้างตัวเองแบบนี้ เพราะ นอกจากทำธุรกิจ เขาก็เป็นอาจารย์พิเศษ และ วิทยากรให้ความรู้ รวมทั้งทำ Venture Capital ช่วยให้เงิน และ ปรึกษาธุรกิจให้คนรุ่นใหม่ที่มี Idea
....ก็เล่าให้ฟังครับ ว่าเดี๋ยวนี้ โจทย์ชีวิต มันเริ่มเปิดกว้าง โอกาสของตลาด มันเปลี่ยน ก็เท่ากับว่า มันเปิดเช่นกัน ...คนที่เห็นโอกาส ผมว่า ต้องกล้าที่จะลองในสิ่งใหม่ๆ ..."ช่วงแรก เชื่อผม อย่าไปมองที่เงิน ...ให้มองที่งาน และ ความท้าทายที่เราจะเปลี่ยนแปลง อะไรก็ได้ ให้ดีขึ้น -- เดี๋ยวธุรกิจ และ เงินมันจะตามมาเอง"
 
....ใส่ Passion เข้าไป "มันสัมผัสได้" นั่นแหละ จุดเริ่มต้น!!
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ที่มา  ::       http://www.pawawit.com/2012/10/blog-post.html
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

"อยากเป็นลูกจ้าง" หรือ "อยากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว" ..ใครช่วยเราได้

"อยากเป็นลูกจ้าง" หรือ "อยากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว" ..ใครช่วยเราได้

 
 
 

 
ผมเจอคำถามนี้เยอะมาก "อยากเป็นเจ้าของกิจการ ต้องทำอย่างไรบ้าง" ..เหมือนเขาต้องการหาคำตอบที่เป็นสูตรสำเร็จ ..อยากบอกตรงๆ แบบไม่ให้เสียกำลังใจนะ ว่าจริงๆ สูตรสำเร็จของการเป็นเจ้าของกิจการส่วนตัวมันไม่มีนะ ...อย่าได้คิดว่า มีเงินหนึ่งก้อน แล้วไปซื้อหนังสือ วิธีการทำร้านกาแฟ แล้วคุณจะมาเปิดแล้วสุดท้ายเป็น Starbucks ..ไอ้ที่ว่า ได้เปิด ถ้าเรามีเงิน เราได้เปิดแน่ แต่สุดท้ายมันเจ๊งไง -- แล้วเอาไงดี ??

 
 
การสร้าง The Stock Master ขึ้นมาจริงๆ เราอยากสร้าง Community ที่เริ่มจากการลงทุนเป็นแก่น ...เพราะไม่ว่าคุณจะต้องการมีอาชีพใดก็ตาม สุดท้ายคุณหนีไม่พ้นเรื่องเงินที่คุณต้องจัดการอยู่ดี ..ขนาดคุณเป็นศิลปิน ติสแตก แค่ไหน ท้ายสุดก็ต้องมาจัดการเรื่องเงินในที่สุด -- มันมีทางเลือกอยู่สองทาง คือ หนึ่ง ทางเลือกที่พี่โน๊ต เลือกคือ จัดเดี่ยว แล้วได้เงินเยอะมาก เอาไปให้คนอื่นจัดการ ผลก็คือ เราได้ดู "เดี๋ยว" กันอีกหลายครั้ง..55 เพราะ เงินมันหายหมด ...สอง ทางเลือกที่เรามาศึกษา วิธีการจัดเงิน แล้ว สุดท้ายเราก็สามารถ เอาเงินนั้นมาจัดการ ไม่ว่าจะเป็น การปลูกเงินทำงานในระยะยาว หรือ จะเป็นการเก็งกำไรแบบมีแบบแผน ก็ทำได้ตามแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเรา

 
 
ไหนๆ ก็เกริ่นเกี่ยวกับ The Stock Master ก็ขอเล่าต่อไปละกัน ว่า "หลักทรัพย์บัวหลวง" เขาเข้ามาเป็นแม่งาน คือ มาสนับสนุน มันไม่ใช่มีแต่รายการ Reality แต่ก้าวต่อไป คือ การสร้าง Center จริงๆ ขึ้นมาเป็นศูนย์กลาง ให้ความรู้แก่เพื่อนนักลงทุนอย่างจริงจัง ...อย่างงานสัมมนาใหญ่ The Stock Master มือใหม่ Day ที่ผ่านมา เราได้ทางตลาดเข้ามาช่วย แถมบอสใหญ่ คุณ จรัมพร ก็มาดูงานเองเลย อันนี้สุดยอดมาก ...เอาเป็นว่า เดี๋ยวต้นปีหน้า เพื่อนนักลงทุนจะได้มี Center และ กิจกรรม "แนวๆ" ในการเป็น One Stop ทางองค์ความรู้ และ ชุมชนย่อย ที่เป็น ศูนย์กลางในเรื่องของการลงทุนที่เหมาะกับอาชีพของตัวเอง โดย เราจะมีการนำ The Stock Master รุ่นที่แล้ว ที่เขาเป็นตัวแทนในอาชีพต่างๆ ผลัดกันมาให้ความรู้ ..."คุณเชื่อเถอะว่า คนที่ยิ่งแบ่งปัน ความรู้ เขายิ่งได้รับโอกาส และ ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง" ที่บอกอย่างนั้น เพราะ เรื่องการแบ่งความรู้แล้ว ได้รับโอกาส มันเกิดกับตัวผมเองจริงๆ ..การที่ผมได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาการลงทุนให้บัวหลวง มันเป็นการต่อยอดโอกาส จากที่ผมแบ่งปันความรู้การลงทุน จนในที่สุดบัวหลวงก็เห็นว่า แนวทางนี้ควรได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง ...นั่นเป็นที่มาของ การสนับสนุนทุกอย่าง เพื่อสร้างชุมชนของ "รายย่อย เพื่อ รายย่อย" อย่าง The Stock Master ขึ้นมา โดย บัวหลวง อาสา ออกเงินสนับสนุน และ เป็นพี่เลี้ยงในการให้ความรู้ การลงทุนในแบบที่ถูกต้อง ..."วิสัยทัศน์หล่อ มันเป็นเยี่ยงนี้เอง..อิ อิ"

 
 
เอาว่า "รอต้นปี" ..ผม และ The Stock Master จะเริ่ม "ปล่อยของ แบบจัดหนัก" ..แต่จะเป็นอะไรนั้น ขอให้อดใจรอกันสักนิด --- ระหว่างที่รอ ก็มาร่วมศึกษา แนวทางการลงทุน กันได้ในwww.facebook.com/thestockmaster แห่งนี้กันก่อนละกัน

 
 
กลับมาเรื่องการ อยากเป็น เจ้าของกิจการ ...ผมขอแนะนำเลยว่า ให้คนรุ่นใหม่ใจเย็นๆ ...อย่างแรกของความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจใดก็ตาม คุณต้องมี หนึ่ง ความเชียวชาญ และ สอง คุณต้องเข้าใจลูกค้า ... จริงๆ มี สาม คือ ต้องมีเงิน ..แต่เรื่องเงิน ถ้าคุณเก่งพอ มันสามารถใช้ Other People Money ได้ ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะ ตัวผมเอง ผ่านมาทั้งสองแบบ ...ครั้งแรก ผมคิดว่าผมเก่ง ผมก็เลยเอาเงินของ My Family มาละเลง ทำธุรกิจตามที่ผมฝันไว้ แต่สุดท้ายผมก็มารู้ว่า จริงๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ฝัน ..ถ้าย้อนเวลาคิดในจุดนั้น บอกได้เลยว่า มันพลาดตั้งแต่เริ่ม เพราะ ความพร้อมเราไม่มี แต่เราดันทุรัง เพราะ นึกว่าตัวเองเก่ง ...

 
 
เวลาผ่าน ความคิดก็เปลี่ยน ...วันนี้ผมแทบไม่มีธุรกิจไหน ที่เริ่มจาก เงินเลย ...การทำงาน แนวคิดทุกอย่างจึงเปลี่ยน ...ถ้าถามว่า ไม่เริ่มจากเงิน แปลว่า ธุรกิจไม่ต้องใช้เงิน ใช่หรือไม่ ...ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ...ทุกธุรกิจในโลก ต้องใช้เงิน เพราะ เราอยู่ในโลกของทุนนิยม ...แต่ความเข้าใจ กลบทมันต่างกัน ..คือ คนที่เข้าใจในธุรกิจเพียงพอ มันต้องเริ่มในส่วนที่ไม่ใช้เงิน ...อย่างช่วงหลังๆ นี้ ผมได้คุยกับ เจ้าของธุรกิจมากมาย ที่เขาเริ่มจากไม่มีเงินเลย ...ที่สัมภาษณ์ล่าสุดก็อย่าง OOKBEE คนทำ Ebook ..ที่เขาเริ่มจาก รับงานฝิ่น งาน Freelance ต่างๆ แล้วค่อยๆ ฝึกฝีมือ จากนั้นก็รวมตัวกันเป็นบริษัทเด็กแนวๆ ทำงานเกี่ยวกับ Software ที่ตัวเองถนัด ...วันนี้เขาได้ INTUCH เอาเงินมาลงทุน เป็น Venture Capital ให้ ใส่เงินมา 59 ล้าน ..แล้วตีค่าธุรกิจให้ 240 ล้าน ...ทำเพื่อสุดท้ายระดมทุนในตลาด ให้เป็นมหาชน --- ครับ ผมกำลังจะบอกคุณว่า ธุรกิจแบบนี้ เริ่มจาก "ความสามารถ" แล้วก็ค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จากการเข้ามารับงานจากโลกความเป็นจริง โดยเป็น Freelance จากนั้น ก็ค่อยๆ ปรับ ระหว่าง ความฝัน ที่ตัวเองมี เข้ากับโลกความจริง ว่า สิ่งที่เราคิดมันสามารถทำเงินจริงๆ ได้หรือไม่ ... "ไอ้ Model ที่ผมเล่ามา จริงๆ ก็ไม่ต่างจาก Facebook , Google หรือ บริษัทใน Silicon Valley เท่าไหร่ ...คือ มันมี ความสามารถเป็นแก่น ...ส่วนเงินมันใช้เงินคนอื่น ...วันนี้โชคดีที่คุณและผม เริ่มเข้าสู่ยุคที่ เราเริ่มเข้าถึงโอกาสที่ ไม่ต้องเริ่มธุรกิจจากเงิน แต่เริ่มจากความสามารถ"

 
 
โอเค เริ่มความเข้าใจของ Start Up 101 คือ "เริ่มที่ความสามารถ" .... คำถามคือ แล้ว อะไร ล่ะ !!

 
 
ผมแนะนำเลย ว่า อย่างแรก คุณต้อง จูนความฝันที่คุณมี เข้ากับ โลกความจริง ...โดย การลองรับงาน ที่เขายอมจ่ายเงินคุณเป็นเงินจริงๆ เช่น ถ้าคุณเป็นนักศึกษา ลองหางาน Freelance ที่คุณกับเพื่อนๆ รวมกลุ่ม ไปรับงานบริษัท ทำอะไรก็ได้ ที่คุณและเพื่อนๆเก่ง ..ถ้าเล่าในส่วนของผม สมัยผมอยู่มหาวิทยาลัย ผมรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ไปรับงานสร้าง Website ให้บริษัทแห่งนึง ...บอกตรงๆ ผมเอง เขียน Website ไม่เป็น แต่ผมไปหาเพื่อนที่มันเก่ง ...จากนั้นผมก็รวมกลุ่มเพื่อนๆ อีก 2-3 คน เข้ามาทำเรื่อง Content ...ถามว่าสำเร็จไหม ก็ต้องบอกว่า ไม่สำเร็จ แต่สิ่งที่ได้คือ ผมและกลุ่มเพื่อนๆ ได้ค่าขนมในการทำงาน และ ก็ได้เรียนรู้ว่า การหาเงินจริงๆ ในธุรกิจจริง กับความฝันของเด็กมหาวิทยาลัย มันต่างกันอย่างไร ...บอกตรงๆ ว่า สิ่งที่ผมได้รับ มันมากกว่าเงิน แต่มันทำให้ผม เข้าใจโลกมากขึ้น ..สุดท้ายมันกลับมาช่วยให้ การเรียนผมยิ่งดีขึ้น ..เพราะ จากจุดนั้น ผมก็ทำธุรกิจอื่นมาเรื่อยๆ อย่างขายตรง ผมยังไปเจอ อาจารย์เป็น Upline เลย ...ถามว่าแล้วขายตรงผมสำเร็จไหม ก็ไม่สำเร็จ แต่ผมก็ได้สนิทกับอาจารย์ และได้แลกเปลี่ยนมุมมอง เปิดโลก และการเรียนรู้ให้ผมมากกว่า แค่เรียนไปวันๆ ในตำรา ... ไม่รู้ซิครับ ผมว่า เดี๋ยวนี้ การที่คนๆ นึงจะเก่ง และ ประสบความสำเร็จ มันไม่ได้เป็นเส้นตรง หรือ สูตรสำเร็จ ...แต่มันเป็นการรวบรวม และ เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
 

 
แล้ว เมื่อเริ่มรับ งาน Freelance แล้ว เอาไงต่อ !!
 

 
ก็ Keep Walking เก็บเกี่ยว ประสบการณ์ และ ความรู้ ... สิ่งที่คุณจะเจอ แล้วสอนคุณตลอด คือ "ปัญหา" ...ครับ ทุกอย่างที่คุณทำในโลกนี้ ต้องเจอปัญหา แน่นอน ...คนที่เก่งเพราะเขา เจอปัญหาแล้วอยากแก้ ..."เข้าใจคนแนวนี้ไหม ..อะไรง่ายๆ ให้คนอื่นทำไป ...อะไรยาก ส่งมาให้กู..ฟังดูฮา แต่คุณรู้ไหม ไอ้คนแนว Troble Shooter สุดท้ายแม่งได้ดีทุกคน ..ไอ้เพื่อนผมหลายๆ คน วันนี้ มีธุรกิจใหญ่โต บางคนเป็นผู้บริหาร ก็มาจากไอ้แนวความคิดแบบ ยากให้กู นี่แหละ!!"

 
 
ก็ประมาณนี้ ...ใครที่สนใจ อยากเป็นเจ้าของกิจการ ให้เริ่มจาก "ปรับความฝัน ให้เข้าสู่ Mode ความจริง" โดย การไปขาย Idea ให้บริษัท หรือ ธุรกิจ ลองรับงาน Freelance หรือ Outsource ดู ... "ถ้าไม่มีใครจ้าง ให้คิดไว้เลยว่า หนึ่ง คุณ Pitch งานไม่เป็น ไปฝึกใหม่ ...ฝึกให้คุณ ขาย Idea ให้ได้ เพราะเชื่อผมเถอะ ถ้าคุณขาย Idea แลกเงินไม่ได้ อย่าหวังจะเป็น นักธุรกิจ ร้อยล้าน พันล้าน ..คนเหล่านั้น จริงๆ แม่งทำอะไรไม่เป็น แต่เก่งขาย Idea คือ Idea เขาขายได้ จากนั้นเขาก้หาคนมาทำ ...อย่าคิดว่าตลกนะ อย่าง Bill Gates ที่เขารวยสุดในโลก ก็มาจากขาย Idea ให้ IBM นี่แหละ ..ตอนที่เราขายได้ เขายังไม่มี Software ในมือเลย คิดดูดีๆ Bill Gates จริงๆ ก้เก่งจากตรงนี้แหละ -- ถ้าคุณเริ่ม ต้องเริ่มจาก หน้าด้าน ...ใช่!! หน้าต้องด้าน แล้ว ขายให้เป็น เอา Idea แลกเงินให้ได้ ..เริ่มจาก Freelance และ Outsource เล็กๆ นี่แหละ ลองดู!!"

 
 
โอเค ...ไปลองคิดกันดูครับ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

ธุรกิจ "พันล้าน" เขาปั้นจากอะไร

ธุรกิจ "พันล้าน" เขาปั้นจากอะไร




ได้มีโอกาส แลกเปลี่ยนมุมมองกับ "พี่ป้อม" นักปั้นธุรกิจ SME เข้าสู่ตลาดหุ้น ... "พี่ป้อม คือ เจ้าของ Asset Pro นั้กปั้น IPO ผู้โด่งดัง หรือ คิวทองปั้นดินสู่ดาว"
 
 


พี่ป้อมเล่าให้ฟังว่า "เราโชคดีที่เราอยู่ในยุคนี้ ..หากย้อนกลับไปปี 2540 ถ้าใครจำยุค วิกฤตต้มยำกุ้ง คงจะพอจำกันได้ว่า ในเวลานั้น ธุรกิจเจ๊งกันทั้งประเทศ สาเหตุหลักๆ ก็มาจากเรื่องของ ค่าเงิน และ การกู้ ..ซึ่งในยุคนั้น เงินทุนของกิจการต่างๆ จะมาจากแหล่งเงินหลัก คือ ธนาคารอย่างเดียว ..และอย่างที่เราทราบๆกันว่า เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจมีปัญหาธนาคารก็มักจะ หยุดให้กู้ หรือ ดึงเงินกลับ ..ภาพที่เกิดขึ้น อย่างที่เรารู้กันว่า เงิน ก็คือ เลือดของธุรกิจ -- การดึงเงินกลับของธนาคารในเวลาที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ก็เท่ากับว่า เอาเลือดถ่ายออกจากคนป่วย ..ใช่!! ผลก็คือ คนป่วยก็ตายนั่นเอง -- นั่นแหละปี 2540 ก็เจ๊งกันทั้งประเทศ" ...แต่วันนี้โครงสร้างการเงินของไทย เริ่มพัฒนาขึ้น เรามีตลาดทุน ซึ่งเป็น การหาเงินในรูปแบบของการ "แบ่งส่วนความเป็นเจ้าของ"


 



"การแบ่งส่วนความเป็นเจ้าของ" มีข้อดี คือ บริษัทสามารถหาเงินทุนโดยการ "ขายหุ้น" ให้กับ นักลงทุนที่สนใจมาร่วมลงทุนกับธุรกิจของเรา ..ซึ่งมันเป็นการ Balance ในโครงสร้างของเงินทุน ระหว่าง "หนี้ (ที่มาจากธนาคาร)" กับ "ทุน (ส่วนเงินทุนเริ่มต้นของเจ้าของ)" ..อย่างที่เราเข้าใจเรื่อง D/E (Debt / Equity) ก็คือ Ratio อันนี้ที่ใช้วัดสุขภาพของธุรกิจ ...การที่ธุรกิจนึงจะเติบโต จาก SME ขึ้นเป็นธุรกิจ ร้อยล้าน พันล้าน ...ต้องเข้าใจ "การแบ่งส่วนความเป็นเจ้าของ"


 
 

ใช่!! ความแตกต่าง ระหว่าง "ร้านอาหารเล็กๆ" กับ ธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ ก็คือ การเข้าใจกลไกทาง เงินและทุน ... อย่างที่เกริ่นมา การเอาธุรกิจเราเข้าตลาด มันต้องเริ่มจากการเตรียมตัว ...อย่างแรกคือ เตรียมสร้างความโปร่งใสในธุรกิจ จากการทำบัญชีที่โปร่งใส ..จุดนี้หลายๆ คนฟังแล้วอาจถอดใจว่า เดิมทีทำธุรกิจก็หลบภาษีสบายๆ แต่ทำไมถึงมีคนโง่ ยอมจ่ายภาษีเต็ม แล้วเอา สัดส่วนธุรกิจแบ่งขายให้นักลงทุนคนอื่นเข้ามาร่วมเป็นเจ้าของในธุรกิจของเรา ... "เขาคิดฉลาดแล้วหรือ!!"


 
 


ครับ..เรื่องนี้ปัญหาโลกแตก ..ว่าการแบ่งส่วนธุรกิจให้คนอื่นถือ แล้วทำงบการเงินโปร่งใส เพื่อจ่ายภาษีเต็ม อาจมองดูไม่ฉลาดในเบื้องต้น แต่แท้จริงแล้ว การสร้างความโปร่งใส มันก่อให้เกิด การบริหารที่เป็นระบบตรวจสอบได้ ...และ จุดนี้เอง ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจเราสามารถมี ผู้บริหารมืออาชีพ เข้ามาช่วยทำงาน จากเดิมที ลุง ป้า หน้า อา เป็นผู้บริหาร ก็เปลี่ยนมาเป็น มืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการแทน ..ตัวอย่าง ความสำเร็จก็มีอยู่มากมาย คิดง่ายๆ นะ หลายๆ บริษัท ก่อนที่จะเป็นธุรกิจ พันล้าน เขาเริ่มจาก ทุนจดทะเบียน แค่ล้านเดียว ...พอเข้าตลาด ก็มีเงินทุน มาขยายกิจการ แล้วก็จ้างมืออาชีพมาบริหาร ...จาก SME ที่เปิดใจ ก็เป็นเศรษฐีร้อยล้าน พันล้านได้


 



Trick มันอยู่ที่ "เปิดใจ" ... "คนเรา เก่งคนเดียว ก็ทำได้แค่ จุดนึง ...แต่คนที่เก่งจริง ต้องสร้างกิจการ ที่รวมคนเก่ง ทำงานสู่เป้าหมาย ที่ยิ่งใหญ่ ...เปลี่ยนประเทศน่ะ มันต้องทำเป็นทีม ต้องสร้างกลไก สร้างความชัดเจนของการจัดสรรค์ผลประโยชน์ ...คนเก่งจริงๆ ไม่ใช่คนที่เอาแต่ตัวเอง แต่คนเก่งจริง คือ คนที่เป็นนักจัดสรรค์ผลประโยชน์ และ เป็นแกนของการนำทีมสู่ความฝัน" ...ฝันให้สุด ธุรกิจเล็กๆ ขายของชำ ถ้ามีจุดยืนชัดเจน มีความแตกต่าง มีทีมงาน มีทุน และ เข้าในการจัดสรรค์ผลประโยชน์ให้ทีมงานที่เก่ง ก็สามารถเป็น ธุรกิจพันล้านได้เช่นกัน


 
 

ก็นับเป็นการคุย เปิด Idea ที่น่าสนใจ ...วันนี้โครงสร้างการเงินเปลี่ยนไป คนที่เข้าใจ แล้วรู้จักใช้ "หนี้" และ "ทุน" อย่างลงตัว จะสามารถสร้างธุรกิจพันล้าน ..ฮึม!! พันล้าน สร้างได้ ..โย่ว!!