วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เปิดตำรา "รวย" นักลงทุนพันธุ์ใหม่ "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม"

เปิดตำรา "รวย" นักลงทุนพันธุ์ใหม่ "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม"

Pic_279676




ในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก ชุมชน หรือสังคมของบรรดานักลงทุนเลือดใหม่ในตลาดหุ้น ที่เป็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฟแรง คงไม่มีใครไม่รู้จัก “แพท” ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ชายหนุ่มวัย 30 ต้นๆ ที่ประสบความล้มเหลวในการลงทุนทำธุรกิจจริง แต่ประสบความสำเร็จเกินคาดหมายสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น และประกาศว่าตนเองมีอาชีพเป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

จนสามารถเขียนหนังสือ “แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน” ออกมาหลายซีรีส์ มียอดขายระดับ Best Seller บอกเล่าประสบการณ์ กลยุทธ์ วิธีการในการลงทุน เคล็ดลับ การตัดสินใจ รวมถึงการฝึกฝนและหลักคิดในการลงทุนที่ถูกต้อง จนเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่ ยึดเป็นไอดอลต้นแบบในการลงทุน

ไม่เพียงเท่านั้น “ภาววิทย์” ยังได้รวมกลุ่มกับบรรดานักลงทุนรุ่นใหม่ ช่วยกันเผยแพร่ความรู้ แนวคิดและประสบการณ์ ผ่านเว็บไซต์ “สต็อกทูมอร์โรว์” รวมทั้งเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ จนได้รับความนิยมมีผู้เข้าไป Follow ติดตาม เป็นสมาชิกและแฟนเพจจำนวนมากจนกระทั่งสามารถตั้งตนเป็น “กูรู” สร้างตำรา จัดคอร์สให้ความรู้ แนะนำแนวคิดและกลยุทธ์การลงทุน ที่ได้รับการยอมรับและความนิยมสูงสุด เรียกว่าทุกคอร์สที่เปิดรับสมัคร เป็นต้องต่อคิวยาวเหยียดไปถึงปลายปี

เมื่อไม่นานมานี้ เขาฮึกเหิมจัดงานรวมพลคนลงทุน “อินเวสเตอร์ไนท์” ในโรงแรมหรูกลางกรุง มีแฟนคลับนักลงทุนรุ่นใหม่และหน้าเก่าเข้าไปร่วมแจม เสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นข้อมูลการลงทุนกันอย่างคึกคัก ว่ากันว่า งานนั้นหากรวบรวมมูลค่าพอร์ตหรือเงินลงทุนของผู้ที่เข้าไปร่วมชุมนุมในคืนนั้นมีมูลค่ารวมกันเหยียบหลักหมื่นล้านบาท!!

กระทั่งล่าสุด โบรกเกอร์อันดับใหญ่ต้นๆของเมืองไทยต้องเชิญให้เขาไปนั่งเป็น Investment Advisor ผู้ให้ความรู้และที่ปรึกษาการลงทุนให้กับลูกค้าของบริษัท เพื่อหวังขยายฐานนักลงทุนคุณภาพ!!

“ทีมเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์เปิดอกกับนักลงทุนพันธุ์ใหม่ถึงเคล็ดลับ การมองพร้อมหลักคิดในการลงทุนที่น่าสนใจจนนำมาสู่ความสำเร็จที่นักลงทุนรุ่นใหม่อยากจะเดินรอยตาม

ฝากเงินไว้ในตลาดหุ้น

“ภาววิทย์” บอกกับเราว่า ตนเห็นโอกาสในการสร้างความมั่งคั่ง ร่ำรวยได้จากตลาดหุ้น เพียงแต่ต้องใฝ่หาข้อมูลความรู้ ฝึกฝน และมีความอดทนที่จะรวย ซึ่งต้องใช้เวลา ไม่ใช่ฉาบฉวย หวังแค่อยากจะ “รวยเร็ว” ที่สำคัญต้องมีวินัย เพื่อจำกัดความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

“ทุกวันนี้คนอื่นอาจเอาเงินออมฝากไว้ในธนาคาร ลงทุนในทองคำ บ้าน คอนโด ที่ดิน หรือกองทุนรวม แต่ผมออมเงินทั้งหมดไว้ในตลาดหุ้นครับ เพราะมีขุมทรัพย์มากมายให้เราเลือกตักตวง ที่ไม่ลงทุนในทองคำเพราะมันจ่ายปันผลให้เราไม่ได้ แต่การเลือกหุ้นดีก็เหมือนฝากธนาคาร ได้ทั้งปันผลและกำไรจากราคาหุ้น ผมจะขายหุ้นเอาเงินกลับมาฝากธนาคารก็ต่อเมื่อดอกเบี้ยให้ผลตอบแทบสูงกว่าการลงทุนในหุ้น ที่ตอนนี้ยังไม่เห็นความเป็นไปได้เลย”

“ภาววิทย์” ยังบอกถึงเทคนิค “รวยหุ้น” ของตนเองว่า เขาเป็นนักลงทุน แนววีไอ (Value Investor) หมายถึงนักลงทุนที่เน้นลงทุนหุ้นคุณค่า คือหุ้นพื้นฐานดีแต่ราคาตกต่ำลงกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก ขณะที่ธุรกิจกำลังฟื้นตัว หรือมีโอกาสเติบโตสูง แม้ต้องถือระยะยาวเพื่อรอเวลาเก็บเกี่ยว ที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาสะท้อนความจริงของกิจการ เมื่อถึงตอนนั้น หุ้นที่ถืออยู่ก็จะกลายเป็นหุ้นที่ทำกำไรเข้ากระเป๋าได้ “หลายเด้ง” ได้ทั้งจากราคาหุ้นที่สูงขึ้นและจากเงินปันผล ที่หุ้นดีๆมักจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสม่ำเสมอทุกปี โดยเขาตั้งเป้าได้ปันผลตอบแทนทบต้นที่ปีละ 10%....นี่ยังไม่รวมราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาในระหว่างทางอีกนะ!!

“ภาววิทย์” ยังบอกว่าเมื่อเลือกลงทุนหุ้นที่ดีแล้ว แม้ราคาหุ้นปรับตัวลง เขาก็ไม่กังวลหากประเมินว่า ธุรกิจไม่ได้เสียหายหรือไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ แต่ราคาหุ้นตกลงจากภาวะอารมณ์ของตลาด เพราะแค่รับปันผลทุกปีในอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ยก็ถือว่าคุ้มแล้ว

ที่สำคัญเราต้องมั่นใจและรู้เหตุผลตัวเองว่าซื้อหุ้นตัวนี้เพราะอะไร หากต้องการลงทุนเพื่อรับปันผลก็ไม่ต้องเดือดร้อนหรือหวั่นไหวกับราคา แถมเงินที่ได้จากปันผลก็จะนำไปต่อยอดลงทุนในหุ้นทบต้น เป็นกลยุทธ์ “เงินต่อเงิน” อีกด้วย แต่หากเราซื้อเพื่อหวังเก็งกำไรระยะสั้นจากส่วนต่างของราคาหุ้น หากราคาหุ้นลงไม่เป็นไปตามทิศทางที่คาดหวัง เราก็ไม่เจ็บตัวมาก เพราะเรากำหนดจุด Stop Loss หรือ “หยุดขาดทุน” ไว้แล้ว ที่ 5-10% ทำให้เราสามารถจำกัดความเสี่ยงได้

อยากรวยต้อง “คิดต่าง”

ที่สำคัญหากราคาหุ้นพื้นฐานดีๆ ปรับตัวลงมาก นักลงทุนวีไออย่างเขาก็จะฉวยโอกาสนี้เข้าไปซื้อหุ้นเพิ่ม โดยเฉพาะในช่วงที่คนตกใจกลัวมากๆนี่แหละเป็นโอกาสที่ดีของการ “คิดต่าง” หรือ “คิดสวนทาง”

เพราะปรัชญาการลงทุนของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เจ้าพ่อวีไอที่เขายึดเป็นต้นแบบคือการเข้าไปซื้อของดีราคาถูกในช่วงที่เกิดวิกฤติและเฝ้ารอขายในช่วงที่ผู้คนกำลังมั่นใจสุดๆ นั่นแหละคือโอกาสในการขายทำกำไรหรือ “ล้างพอร์ต” เพื่อตุนเงินไว้รอกลับเข้าซื้อหุ้นดีราคาถูกอีกรอบ เมื่อฟองสบู่แตกตลาดเปลี่ยนทิศทางเป็น “ขาลง”!!

โดยหุ้นที่เขาใช้ตำรา “ชาวสวน” เข้าไปซื้อในช่วงที่เกิด “ข่าวร้าย” เช่น ซื้อ PTT ช่วงที่มีข่าวมาบตาพุด และซื้อ ADVANC ช่วงถูกฟ้องเรื่องการแปลงสัญญาสัมปทาน และช่วงที่มีข่าวล้มประมูล 3 จี ที่ราคาร่วงลงหนัก และถึงตอนนี้ในพอร์ตยังมีหุ้น 2 ตัวนี้เป็นหุ้นหลักที่ยังไม่เคยถูกขายออกมาเลยรับแค่ปันผล ADVANC ก็คืนทุนเกือบหมดแล้ว แถมราคายังวิ่งขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว!!

สำหรับพอร์ตระยะยาวนี้ ปีหนึ่งๆเขาจะซื้อขายเพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น แต่จะคอยเช็กข่าวสารข้อมูลและติดตามงบการเงินและสถานะของบริษัทที่ลงทุนอยู่เสมอ

หากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญหรือเห็นว่าราคาหุ้นสูงในระดับที่น่าพอใจหรือเต็มมูลค่าที่ตั้งไว้แล้ว ก็จะขายทำกำไรออกมาเพื่อเปลี่ยนตัวไปยังหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนได้สูงกว่า

“ภาววิทย์” ยังบอกว่า เขาอาจไม่ได้ยึดแนวทางวีไอเพียงอย่างเดียว แต่เขาศึกษาการลงทุนหลายมิติและพบว่าใน “เว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์” ที่เขาเข้าไปศึกษา แชร์ประสบการณ์และ “ถูกจริต” กับชุมชนออนไลน์แห่งนี้ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนไอเดียและแนวทางการลงทุนของแต่ละคนที่ทั้งประสบความล้มเหลวและความสำเร็จ

ใช้กราฟเทคนิคช่วยจับจังหวะซื้อ-ขาย

“ภาววิทย์” จึงค้นพบและได้ศึกษาว่าการใช้ “กราฟเทคนิค” สถิติของราคาในอดีตและเส้นกราฟเข้ามาช่วยจะทำให้สามารถรู้ “จังหวะและเวลา” ที่จะซื้อขาย-เข้าออกที่เหมาะสมและถูกจังหวะที่สุด ซึ่งสามารถนำมาผสมผสานเข้ากับแนวการลงทุนแบบวีไอ เพื่อวิเคราะห์ว่าราคาหุ้นถูกหรือแพงไปแล้ว ควรจะซื้อหรือขาย

ที่สำคัญแม้จะมีพอร์ตลงทุนระยะยาว เขายังแบ่งเงินมาเป็น “เทรดเดอร์” ลงทุนเก็งกำไรระยะสั้นเพื่อฉกฉวยกำไรจากข่าวสารของหุ้นรายตัว และความผันผวนขึ้น-ลงของตลาดด้วย ซึ่งตรงนี้ การใช้กราฟเทคนิคเพื่อหาจังหวะในการเข้าซื้อหรือขายจึงเป็นสิ่งจำเป็น ที่นักลงทุนทั่วไปอาจมองข้าม ซึ่งเขาว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้

ดังนั้น คิดจะลงทุน จึงต้องหมั่นฝึกฝน ทำการบ้านและเรียนรู้กราฟเทคนิคเพื่อนำมาเป็น “ตัวช่วย” ด้วย!! เขาบอกและที่ “ภาววิทย์” ย้ำตลอดการสัมภาษณ์ครั้งนี้คือ เขาต้องการให้นักลงทุนรู้จักและเข้าใจความเสี่ยง เพราะต้องยอมรับว่าการลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยง

จึงต้อง “จำกัดความเสี่ยง” ในการลงทุน โดยการกำหนดจุด Stop Loss หรือ CutLoss หรือการขายเพื่อ “หยุดการขาดทุน” ในอัตราที่แต่ละคนสามารถยอมรับความเสี่ยงหรือผลขาดทุนนั้นได้ ในกรณีที่เลือกหุ้นผิดตัวหรือผิดจังหวะหรือเกิดเหตุพลิกผันสิ่งที่หวังไม่เป็นไปตามที่คาด เราต้อง “ยอมแพ้ให้เป็น” เพื่อให้มีโอกาสไปเริ่มต้นใหม่


เพราะจากสถิตินักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นส่วนใหญ่ 70-80% ลงทุนแล้วขาดทุน!! เพราะ ไม่เข้าใจความเสี่ยงทำให้ “จำกัดความเสี่ยงไม่เป็น” เมื่อหุ้นที่ถืออยู่ ราคาร่วงลงมา ทั้งที่ตั้งใจซื้อเพื่อหวังเก็งกำไรแค่ระยะสั้น แต่ก็ไม่กล้าขายเพราะทำใจกับราคาที่ขาดทุนไม่ได้

ดังนั้น แทนที่จะตัดใจยอม Stop Loss ยอมขายขาดทุนที่ระดับ 5-10% ที่ควรจะกำหนดไว้ ก็ปล่อยทิ้งเป็นหุ้นเน่าติดพอร์ต ไม่มีอนาคต จนผลขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 40-50% ซึ่งยังมีหุ้นปั่นอีกจำนวนมากที่ราคาดิ่งลงเหวไปมากกว่านั้น

ในทางตรงกันข้าม ยังพบพฤติกรรมของนักลงทุนรายย่อย ที่เมื่อเลือกซื้อหุ้น “ถูกตัว” แล้ว แต่พอราคาหุ้นเริ่มขยับปรับตัวขึ้นมาเพราะคนเห็นธุรกิจดี นักลงทุนเหล่านี้ก็ “ไม่สามารถทนรวยได้” กลับรีบเทขายหุ้นออกมา แม้ได้กำไรเพียงน้อยนิด แทนที่จะใจเย็นรอ Let profit run ให้กำไรมันวิ่งเพิ่มพูน ทีอย่างนี้กลับ “ทนรวยไม่ได้” สุดท้าย ทุนหายกำไรหด เป็นสาเหตุทำให้รายย่อยจำนวนมาก เข็ดขยาดหนีหายตายจากตลาดหุ้น!!



เคล็ดลับความรวย
“ภาววิทย์” สรุปปรัชญาการลงทุนของเขาว่า พอร์ตลงทุนเก็งกำไรระยะสั้น ถือเป็นการ “ทำงานเพื่อเงิน” ต้องเข้าตลาด ทำงานทุกวัน แต่สำหรับพอร์ตลงทุนระยะยาว ถือเป็นการ “ให้เงินทำงาน” เหมือนการปลูกต้นไม้เมื่อเลือกตัวหุ้น ศึกษาอนาคตธุรกิจ ดูผู้บริหารที่ดีมีคุณธรรมเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่ก๊วนปั่นหุ้น เมื่อเลือกพันธุ์ไม้ที่ดีแล้ว ก็เฝ้ารอเก็บเกี่ยวดอกผล โดยเฉพาะหากเข้าซื้อในจังหวะที่ถูก มีโอกาสได้ผลกำไรมหาศาล หรือหากได้ผลตอบแทนเพียงแค่ 10% ต่อปี ซึ่งตามทฤษฎีเงินทบต้น ทุก 7 ปี เงินที่ลงทุนจะเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว จาก 100 ล้านบาท เป็น 200 ล้านบาท ได้ไม่ยาก!!
“ความลับของความมั่งคั่งอยู่ที่ว่า คุณสามารถเอาชนะใจตัวเองได้หรือยัง ในการเข้าซื้อหุ้นพันธุ์ดีในวันที่มีข่าวร้ายและราคาหุ้นตกลงมากๆ คุณต้องกล้าในวันที่คนอื่นกลัว นอกจากนี้คุณต้องใช้ปัญญา+เวลา คือการศึกษาความรู้เพื่อเลือกตัวหุ้นที่จะลงทุน หลังจากนั้นก็ใช้ความอดทนที่ต้องใช้เวลารอคอยดอกผลที่จะออกมา นี่คือเคล็ดลับความรวยที่ผมอยากถ่ายทอดให้นักลงทุนเลือดใหม่” ภาววิทย์กล่าว
เราขอแอบเปิดพอร์ตของ “ภาววิทย์” ที่ลงทุนในตลาดหุ้น พบว่าเด็กหนุ่มคนนี้ได้บริหารพอร์ตของครอบครัวรวมทั้งเงินส่วนตัวและเงินที่ญาติมิตร คนสนิท และเพื่อนฝูงลงขันให้เขาลงทุนรวมๆแล้วแตะหลักพันล้านบาท พอถามถึงผลตอบแทน “ภาว-วิทย์” ตอบเลี่ยงๆแต่ได้ใจความว่า ก็ไม่มากไม่มาย เขาบอกว่าทำตามทฤษฎีเป๊ะ โดยแยกพอร์ตลงทุนระยะยาว ที่เน้นเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดปรับตัวลงแรง เกิดแพนิคเพื่อให้ได้หุ้นราคาต่ำเท่านั้น โดยเน้นเลือกหุ้นบิ๊กแค็ปหรือหุ้นตัวใหญ่ที่เป็นผู้นำธุรกิจในช่วง 3-4 ปีมานี้ แม้จะตั้งเป้าแบบไม่โลภไว้แค่ 10% แต่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นทำให้พอร์ตลงทุนโตขึ้นหลายเท่าตัว!!
ส่วนพอร์ตระยะสั้น ที่เน้นหากำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่ขึ้นลงล้วนๆ เขาและทีมงานเกาะตลาดแบบ Fulltime Trader แม้จะตั้งเป้ากำไรเพียงปีละ 30% แต่ไม่มีปีไหนจะทำได้ไม่ถึง และบางช่วงบางปีในหุ้นบางตัวทำกำไรให้พอร์ตมากกว่า 200-300%
“หุ้นในพอร์ตที่เป็นเทรดดิ้ง เราไม่มีทางให้ย่อเกิน 20% เรากำหนดจุด Cut Loss ไว้ชัดเจน ซึ่งหุ้นบางตัวเวลาตีกลับ ราคาพุ่งขึ้นเกิน 100% ภายในเวลาไม่นาน และแม้เราจะเล่นสั้นในพอร์ตเก็งกำไร แต่เราก็เลือกตัวหุ้น วิเคราะห์พื้นฐานของธุรกิจและตัวหุ้นด้วย ที่สำคัญใช้กราฟเทคนิคในการหาจังหวะในการเข้าซื้อและขายที่ปลอดภัยและมีกำไร...เราแทบไม่เคยพลาด”

ยิ่งให้...ยิ่งได้
“ภาววิทย์” ย้ำปิดท้าย โดยบอกว่าปัจจุบันมีคนรุ่นใหม่สนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก โดยคนกลุ่มนี้มีความใฝ่รู้และพร้อมศึกษาหาความรู้ด้านการลงทุนอย่างมาก ซึ่งตรงกับความตั้งใจของเขา ที่ต้องการจะเผยแพร่แบ่งปันและถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้ด้านการลงทุน เพื่อสร้างนักลงทุน “คุณภาพ” ที่มีความเท่าทัน ให้เข้ามาหาผลตอบแทน สร้างความ “มั่งคั่ง”จากตลาดหุ้นได้อย่างชาญฉลาด โดยไม่ตกเป็นเหยื่อหรือกลายเป็นแมลงเม่า เหมือนรายย่อยทุกวันนี้
เพราะเขาเชื่อว่า “ยิ่งให้ยิ่งได้” การเผยแพร่แนวคิดและประสบการณ์ของเขาในสังคมออนไลน์ที่ทำต่อเนื่องมา 3-4 ปี ทุกวันนี้ทำให้เขาพบเพื่อนและมีมิตรเพิ่มขึ้นมากมาย รวมทั้งได้พาร์ตเนอร์มาร่วมต่อยอดแนวคิดและความสำเร็จในการลงทุนให้กับเขาได้อย่างมาก
ซึ่งตรงกับแนวคิดและปรัชญาของผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ “สต็อกทูมอร์โรว์” ที่ก่อตั้งขึ้นมาโดย “ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา” นักลงทุนมืออาชีพ ที่มีเจตนารมณ์สร้างเว็บไซต์นี้ขึ้นมาเพื่อสร้างสังคมนักลงทุนรายย่อยเพื่อรายย่อย ถ่ายทอดแบ่งปันความรู้ประสบการณ์จากนักลงทุนสู่นักลงทุน หวังสร้างนักลงทุนคุณภาพให้เป็นต้นแบบของสังคมนักลงทุน ซึ่งที่เว็บไซต์แห่งนี้ถือเป็นพื้นที่หรือสนามที่ทำให้ภาววิทย์เข้ามาโลดแล่นและผงาดขึ้นเป็นไอดอล ให้กับนักลงทุนมือใหม่ในโลกออนไลน์
“ผมมาต่อยอดความรู้และต่อจิ๊กซอว์การลงทุนให้ “ครบเครื่อง” และประสบความสำเร็จได้จากที่นี่ จากเดิมที่ไม่เคยรู้เรื่องเส้นกราฟ หรือการวิเคราะห์ด้านเทคนิคเลย แต่ผมมาพบกับ “ประกาศิต ทิตาราม” เจ้าของฉายา Wave Riders และ “หยง” ธำรงค์ชัย เอกอมรวงศ์ ฉายา Freedom Trader หรือเทรดเดอร์ลึกลับ กูรูผู้เชี่ยวชาญการลงทุนเชิงเทคนิคและการวิเคราะห์เส้นกราฟ ซึ่งมีสมาชิกแฟนคลับในโลกออนไลน์ติดตามกันจำนวนมาก และปัจจุบันบุคคลเหล่านี้คือพันธมิตรและพาร์ตเนอร์ในโลกการลงทุนของ “ภาววิทย์”

“ภาววิทย์” ย้ำว่า “ยิ่งให้ยิ่งได้” เพราะเขาเริ่มต้นเป็น “ผู้ให้” เขาจึง “ได้” เป็นอย่างทุกวันนี้!!
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น