วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ภาววิทย์ กลิ่นประทุม พกคาถาเด็ดสะกด "หุ้น"

ภาววิทย์ กลิ่นประทุม พกคาถาเด็ดสะกด "หุ้น"
ลองคิดดูเล่น ๆ ว่า ถ้าวันดีคืนดีหุ้นจำนวนมหาศาลที่คุณถืออยู่ในมือเกิดสร้างประวัติการณ์ปิดลบต่ำสุดในรอบ 10 ปี คุณจะรู้สึกยังไง ?
บางคนอาจเกิดอาการเครียดสะสมกรดไหลย้อนกระเพาะทะลุ หรืออาจถึงขั้นวิตกจริตคิดสั้น ตกอยู่สภาวะทิ้งตัวลงจากยอดตึก เพราะหาทางออกไม่ได้

แต่อาการแบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับ "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม"

กูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นหุ้นแถวหน้าของเมืองไทย ผู้ไม่สะทกสะท้านกับสถานการณ์หุ้นตกฮวบฮาบในชั่วข้ามคืนแบบไม่ส่งสัญญาณการฟื้นตัว

ใช่ว่าเขาจะมีทุนหนาและเกิดในตระกูลใหญ่ร่ำรวย หลานปู่ของ "ทวิช กลิ่นประทุม" นักการเมืองชื่อดัง อดีตรองนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช รวมถึงเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท เทรลเลอร์ ทรานสปอร์ต เจ้าของกิจการชิปปิ้งและท่าเรือรายใหญ่ของไทยในยุคหนึ่ง และหลานตาของ "วิระ รมยะรูป" อดีตกรรมการและผู้ร่วมก่อตั้งธนาคารกรุงเทพ อันเป็นเบาะรองรับที่นุ่มนวลพร้อมซัพพอร์ตยามต้องล้มไม่เป็นท่า

แต่ความเข้าใจใน "วัฏจักร" ของตลาดหุ้นต่างหาก ที่ทำให้หนุ่มคนนี้นิ่งได้ในยามกระดานหุ้นแดงเถือก ซึ่งกว่าที่เขาจะทำความเข้าใจได้ก็ต้องใช้เวลา และผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบทรหดชนิดล้างผลาญ (เงินทอง) มาแล้วหลายรอบกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้

จุดที่ภาววิทย์ยืนอยู่ในฐานะนักบริหารเงินจำนวนหลายหมื่นล้านในตลาดหุ้น ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เงินของเขา แต่เป็นเงินของลูกค้าที่ฝากให้เขานำไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ตัวเลขผกผันตลอดเวลา แต่หนุ่มคนนี้กลับมองทะลุปรุโปร่งราวกับไปนั่งเคาะตัวเลขเองกับมือ ซึ่งเกิดจากความเข้าใจว่า ราคาหุ้นมันเป็นวัฏจักร มีทั้งการขึ้นหลอก-ลงสุด-ลงหลอก-ขึ้นสุด วนเวียนกันไปมาอย่างไม่สิ้นสุด ถ้าอยากรวยจากการเล่นหุ้น นักลงทุนจะต้องศึกษาตลาดให้ดี และจับจังหวะให้เป็นว่าเมื่อไหร่ควรเทขาย หรือเวลาไหนควรกระโดดเข้าไปช้อนซื้อหุ้นมาทำกำไร

สำคัญที่สุดคือ นักลงทุนต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่ง ไม่หวั่นไหวไปกับสภาวะการแกว่งไปมาของพอร์ตหุ้น และมีความอดทนมากพอสำหรับการเฝ้ารอจังหวะช่วงขาขึ้นของราคาหุ้นเวียนกลับมาให้ได้ตักตวงผลประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลอีกครั้ง

อาจจะฟังดูง่าย แต่พอเข้าลงทุนจริงบนสังเวียนธุรกิจที่ถูกเรียกว่า "ตลาดหุ้น" กลับไม่ได้ดั่งใจ นักลงทุนที่หวังจะเข้าไปกอบโกยกลับขาดทุนเดินตัวลีบออกมา

"การเล่นหุ้นเป็นการทำเงินจากความโลภและความกลัวของมนุษย์อย่างแท้จริง"

ภาววิทย์ให้คำจำกัดความของธุรกิจนี้พร้อมกับเสริมว่า เนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นต้องการรวยเร็ว เข้ามาด้วยความโลภ ได้ยินได้ฟังจากเพื่อนหรือคนรู้จักที่เข้ามาเล่นก่อนหน้านี้ว่าเล่นแล้วรวยจึงเข้าไปลงทุนบ้าง แต่จังหวะที่เข้าไปเล่นดันเป็นช่วงที่หุ้นถีบตัวขึ้นไปสูงจนเลยราคาพื้นฐานไปไกลแล้ว ทำให้มีโอกาสขาดทุนสูงในยามขายออก เพราะในระหว่างนั้นจะเกิดความกลัวของผู้ถือหุ้นว่าจะขายออกไปไม่ได้เป็นตัวกดราคาให้ต่ำลงกว่าช่วงที่ซื้อหลายเท่า

"โอกาสรวยจากความโลภจึงเป็นไปได้ยากในตลาดหุ้น"

การมองเห็นความโลภปนความอยากที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน เป็นตัวปัญหาใหญ่ที่ทำให้หลายคนพลาดท่าเสียทีกับกิเลสในตัวเองมานักต่อนัก ไม่เฉพาะความล้มเหลวในตลาดหุ้น แต่หมายถึงธุรกิจอื่น ๆ ด้วย แม้แต่ภาววิทย์เองก็เคยประสบเช่นเดียวกัน

หลังเรียนจบของภาววิทย์ที่เคยล้มเหลวทางธุรกิจร้านอาหารอย่างหนัก จนถึงขั้นคิดสั้นอยาก "ฆ่าตัวตาย" หนีปัญหามากมายที่รุมเร้าเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง จากความคิดอยากทำธุรกิจร้านอาหารโดยได้ไอเดียจากการอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่บอกว่า "ถ้าอยากรวยเร็วต้องเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว" บวกกับความคิดที่ว่าตัวเอง "เจ๋ง" ทำให้ตัดสินใจครั้งใหญ่ขอเงินพ่อพร้อมกู้บัตรเครดิตเต็มวงเงินถึง 10 ใบ เพื่อมาเปิดร้านอาหารไทยที่ออสเตรเลีย ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไม่ทำอาหารหรือเคยจับตะหลิวมาก่อน

"ตอนทำร้านอาหารไทย ผมวางแผนการตลาดเอาไว้อย่างสวยหรูตามตำราที่เรียนมาทุกอย่าง 3 ปี ผมสามารถขยายร้านออกไปถึง 5 สาขา ดูจากภายนอกถือว่าเป็นธุรกิจที่หล่อมากเลยนะ แต่สุดท้ายก็เจ๊ง แถมยังเจ๊งถึง 5 เท่า ตอนนั้นรู้สึกว่าสับสนมาก ทำไมถึงขายสู้อาแป๊ะร้านข้าง ๆ ไม่ได้ เพราะตัวเองเรียนมาสูง ได้เกียรตินิยม มีเงินจากพ่อแม่คอยซัพพอร์ต จนสุดท้ายเราถึงเข้าใจว่าเรายังขาดแก่นซึ่งเป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่กำลังทำอยู่ รวมทั้งเนื้อหาที่เราเคยเรียนมามันเอามาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ ต้องพลิกตำราทุกอย่าง เพราะเขาสอนให้เราไปเป็นลูกจ้าง ไม่ใช่เจ้าของกิจการ"

จากประสบการณ์ที่ล้มเหลวในครั้งนี้ เหมือนทางสว่างที่ชี้ให้หนุ่มนักเรียนนอกผู้เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นได้มองเห็นปัญหาของเขาเองและเด็กรุ่นใหม่ที่ต้องการความก้าวหน้ารวดเร็วแต่ไม่เข้าใจในแก่นแท้ของสิ่งที่ทำอยู่

ดังนั้นสิ่งที่จะแก้ได้จึงมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ การศึกษาหาความรู้ ทำความเข้าใจ ทุ่มเทและอดทนกับสิ่งที่ทำอยู่ ไม่ต้องรีบเร่ง ค่อยเป็นค่อยไปเหมือนกับการขี่จักรยานในช่วงเริ่มต้นก่อนที่ยังไม่รู้อะไร จังหวะในการขี่อาจจะยังช้าอยู่บ้าง แต่ถ้าขี่เป็นคล่องแล้ว โอกาสที่เราจะขี่ให้เร็วเพื่อนำหน้าคนอื่น ๆ โดยที่ไม่ล้มกลางทางจะสูงมากขึ้นหลังประสบกับความล้มเหลวสูงสุดในชีวิตครั้งนั้น เขาได้กลับมาอยู่ที่เมืองไทยโดยการเป็นลูกจ้าง "ต๊อกต๋อย (คำนิยามของภาววิทย์)" อยู่ที่ธนาคารกรุงเทพได้สักพัก จึงตัดสินใจจดปลายนิ้วมือบรรจงเขียนบล็อกด้านการลงทุนลงในโลกออนไลน์ โดนด่าบ้างชมบ้าง จนกระทั่งได้พิมพ์หนังสือ "แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน" ออกมาขึ้นแท่นเบสต์เซลเลอร์อย่างสวยงาม ก่อนจะถูกชวนให้ขยับตำแหน่งขึ้นไปเป็นที่ปรึกษาการลงทุนบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ขึ้นแท่นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ทุกคนยอมรับด้วยวัยเพียงแค่ 30 ต้น ๆ พร้อมรายได้ต่อเดือนที่หลายคนต้องตาค้างเมื่อเห็นตัวเลข

ความสำเร็จอันเกิดจากการทลายกำแพงกั้นที่ชื่อว่า "ความโลภ" เข้าใจภาวะตลาด มองเห็นความเสี่ยงเป็นโอกาสและเอาชนะความกลัวได้ เขานำประสบการณ์ชีวิตที่ประสบมาใช้ในการลงทุนกับตลาดหุ้น ทำความเข้าใจกับธรรมชาติว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีขึ้นมีลง เมื่อชีวิตอยู่ในช่วงตกต่ำที่สุดแล้ว สุดท้ายมันจะเด้งกลับมาอยู่ในจุดที่ดีอีกครั้ง

"ผมในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกหลงระเริงว่ามีคนรู้จักตัวเองในฐานะกูรูด้านการลงทุนอันดับต้น ๆ ของประเทศเลยนะ เพราะผมรู้ว่าเดี๋ยวสุดท้ายมันต้องหมดและแย่ลงไปตามธรรมชาติ ไม่มีใครอยู่ในจุดพีกไปได้ตลอดหรอก แต่ถ้าถึงจุดที่เราล้มเหลวแล้วเราต้องถือว่านั่นคือโอกาสและธรรมะที่ทำให้เราได้เรียนรู้การใช้ชีวิตให้ได้"

แนวคิดการลงทุนของหนุ่มนักเล่นหุ้นหนุ่มคนนี้ อาจจะแตกต่างจากนักลทุนในสาขาอื่น เพราะเขามองว่าการไม่ก่อหนี้น่าจะทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น

"ผมคิดว่าเราต้องบาลานซ์ตัวเองให้ได้ อย่างตอนนี้ปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยที่สุดคือ คนไทยใช้เงินมากกว่าที่หามาด้วยการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เพื่ออวดฐานะกันว่าตัวเองรวย แต่ทุกอย่างที่มีอยู่มีหนี้แถมมาด้วยทุกอัน อย่างตัวผมไม่จะไม่เน้นสร้างหนี้ มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องขับเฟอร์รารี่ มีฮอนด้าก็ขับฮอนด้า มีฟีโน่ก็ขับฟีโน่ ขอแค่ทำอะไรก็ได้ให้เงินมันเป็นบวก แล้วปล่อยให้เงินทำงาน แค่นี้เราก็มีโอกาสรวยแล้ว ส่วนจะรวยมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับโอกาสของแต่ละคนที่จะคว้าไว้ได้"

พร้อมกับย้ำอย่างมั่นใจอีกครั้งว่า "คนที่อยู่ในวงการหุ้นแล้วเข้าใจในวัฏจักร และจัดการกับความโลภของตัวเองได้อย่างเด็ดขาด สามารถรวยได้ทุกคน"

การเอาชนะความโลภที่มีเป้าหมายคือ "ตัวเงิน" ดูจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับปุถุชนคนธรรมดานั่งมองหุ้นในมือดิ่งเหวได้แบบไม่สะดุ้งสะเทือนอย่าง "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม" ผู้มองเห็นสัจธรรมการขึ้นลงของตัวเลขเหมือนนั่งมองน้ำขึ้นน้ำลงแล้วรอจังหวะจ้วงตักแบบใจเย็น




หากใครทำได้เช่นนี้แล้ว โอกาสรุ่งในตลาดหุ้นย่อมมีมากกว่าร่วงแน่นอน

YouTube Video

YouTube Video

YouTube Video

YouTube Video

YouTube Video

YouTube Video

YouTube Video

YouTube Video

YouTube Video

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น